วันนี้จะมารีวิวรถจักรยานยนต์ บิ๊กไบค์ ที่ผมใช้อยู่ปัจจุบัน ก็คือ BMW S1000R ซึ่งได้ ทำการตกแต่งแปลงแฟริ่งเป็น S1000RR ซึ่งทั้งสองรุ่นนี้มีพื้นฐานของโครงตัวรถเดียวกัน บล็อกเครื่องยนต์ เดียวกัน และมีความคล้ายกันพอสมควร ซึ่งทำให้การแปลง BMW S1000r เป็น s1000rr นั้นทำได้ง่ายและเนียนพอสมควร

แปลงอะไรบ้าง?

สำหรับการแปลงนั้น ชิ้นส่วนสำคัญที่ต้องเปลี่ยนก็ได้แก่

1. หม้อพักน้ำ ต้องใช้ของตัว S1000rr เนื่องจากถ้าใช้ของ S1000rr จะทำให้ติดกับแฟริ่งครีบฉลามได้

2.แผงคอบน เพื่อเปลี่ยนจาก Handle Bar เป็น แฮนด์จับโช๊ค ใต้แผงคอ การเปลี่ยนแผงคอบนตัวนี้จะทำให้เกิดข้อเสีย ก็คือ ไม่สามารถล็อคคอรถได้ หรือต้องล็อกคอรถในขณะแฮนด์ตั้งตรง ส่วนประกับคันเร่ง และ รีโมท นั้นสามารถใช้ของเดิมได้

3.การเพิ่มเขาควายยึดแฟริ่งหน้า ซึ่งเป็นจุดยึดแฟริ่งหน้าเข้ากับตัวรถ ซึ่งเป็นจุดที่ติดตั้งยากที่สุด ต้องใช้ความชำนาญในการติดตั้ง

4.ไฟหน้า เป็นชิ้นส่วนที่มีราคาค่อนข้างสูง

5.ชิ้นส่วน แฟริ่งต่างๆ

ข้อแตกต่างที่สามารถสังเกตุได้

1.เรือนไมล์ จะสามารถดูได้เลยว่าเป็น R หรืออRR โดยดูจากตัวอักษร และรอบเครื่องยนต์

2.รูใส่น็อตสำหรับใส่กระจกมองข้างที่ประกับแฮนด์ทั้งสองข้าง เพราะส่วนใหญ่จะใช้ประกับเดิม หากใช้ของ RR อาจจะต้องไปลงโค้ดใหม่

3.เฟรม กรณีใช้S1000R ต่ำกว่าปี 2018 เฟรมจะยังเป็นแบบ S1000RR 2014 อยู่

4.สวิงอาร์มสีดำ โดยใน S1000RR จะพบสวิงอาร์มสีดำในเฉพาะตัว Black Edition เท่านั้น

รีวิวการใช้งาน

ประหยัดไป แสนกว่าบาท รอบเครื่องยนต์ต่ำกว่า S1000RR แต่ก็เพียงพอใช้งานบนถนน หน้า-หลัง กำลังเครื่องยนต์ดี ทอร์คหนักตามสไตล์ รถ Naked เตี้ยกว่า S1000RR 1CM คนสูง168 Cm ลงได้เกือบเต็มเท้า ส่วนเรื่องถ้านั่งจะเหมือนกัน S1000RR 2014

สาเหตุในการตัดสินใจเลือกซื้อ

ผมได้ BMW S1000R ปี 2016 แต่จดทะเบียน 2018 มา โดยเป็นรถมือสอง ไมล์ 5700 กม. ซื้อมาแบบฟรีดาวน์เปลี่ยนสัญญากับไฟแนนซ์ โดยผ่อนเดือนละ 9300 48 งวด รวมค่าเปลี่ยนสัญญา กับไฟแนนซ์ 10,000 กว่าบาท และค่าแปลงอีกประมาณ 45,000 บาท ซึ่งรวมราคาเฉพาะตัวรถแล้ว ประมาณ 5 แสนต้น เท่ากับ Yamaha R6 ซึ่งอยู่ในตัวเลือกของผมด้วยขณะนั้น ต้องการรถที่มีขับขี่ง่าย ไม่ต้องการความเร็วสูง ขี่ในเมืองได้ และไม่ต้องการรอบเครื่องยนต์สูง แต่ชอบในศิลปะ แฟริ่งแบบ S1000RR ซึ่ง S1000R สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผมได้