หลายคนคงเคยได้ยินคำว่าประมาทร่วม จากร้อยเวรเวลาที่เกิดอุบัติ ซึ่งหลายคนคงไม่รู้ว่า มันหมายความว่าอะไร ซึ่งคำว่าประมาทร่วมนี้ ถ้าพูดง่ายๆ เลยก็คือ ต่างฝ่ายต่างประมาท หรือผิดทั้งคู่นั่นเอง แล้วหลายคนก็สงสัยว่า ถ้าผลเป็นอย่างนี้แล้ว จะต้องทำอย่างไร จะมีสิทธิ์เรียกร้องค่าเสียหายจากคู่กรณีได้หรือไม่ วันนี้แอดจะนำประสบการณ์ที่แอดเคยพบเจอมาเล่าให้ฟังครับ

สำหรับในคดีจราจรนั้น ถือเป็นคดีรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นผู้เสียหาย ซึ่งมีคู่กรณีทั้งสองฝ่ายเป็นผู้ต้องหานั่นเอง ขึ้นอยู่กับว่าฝ่ายไหนเป็นฝ่ายประมาทก็จะมีสถานะเป็นผู้ต้องหาในชั้นตำรวจ ฝ่ายที่ไม่ประมาท ก็จะมีสถานะเป็นพยานในคดี หรือในกรณีที่มีส่วนประมาททั้งสองฝ่าย ก็จะกลายเป็นผู้ต้องหาทั้งคู่ โดยอาจจะเป็นผู้ต้องหาที่1 และ ที่ 2 ตามลำดับ หรือในภาษาที่เราเข้าใจกันง่ายๆ ก็คือ ประมาทร่วมนั่นเอง

ซึ่งในกรณีที่ประมาทร่วมนั้น โดยปกติก็อาจจะแยกย้ายกัน ซ่อมใครซ่อมมัน แต่หากจำเป็นจะต้องเรียกร้องค่าเสียหายจริงๆ นั้น ก็ต้องพิสูจน์กันว่า ใครประมาทมากกว่า น้อยกว่าเพียงใด ซึ่งตัดสินด้วยอารมณ์และความรู้สึกได้ยากพอสมควร โดยส่วนใหญ่อาจจะใช้นำหนักทางคดีอาญามาประกอบ เช่น รถยนต์ชนกับมอเตอร์ไซค์ มอไซค์เสียชีวิต ส่วนรถยนต์เพียงแค่ทรัพย์สินเสียหาย ดังนี้ก็จะถือว่า ฝ่ายรถยนต์มีความประมาทมากกว่า ฝ่ายมอไซค์จึงสามารถเรียกค่าเสียหายในทางแพ่งได้ แต่ก็ไม่อาจเรียกได้เต็มที่เหมือนกับว่าตนเองเป็นฝ่ายถูก 100%

กรณีไหนบ้างที่อาจเป็นความผิดฐานประมาทร่วม ส่วนใหญ่แล้วก็อาจจะเป็นการเฉี่ยวชนที่บริเวณ 4 แยก เพราะว่าที่บริเวณสี่แยกนั้นจะมีเส้นขาวทึบ หรือเส้นหยุดรถ โดยตามกฎหมายทุกคนที่มาถึงต้องหยุดรถที่เส้น แล้วมองให้พอว่าปลอดภัย จึงขับขี่ผ่านไปได้ แต่ในทางปฏิบัติแล้วทุกคนก็คจะขับขี่ผ่านไปเลย โดยที่ไม่ได้หยุดดูกัน

ในกรณีที่ร้อยเวรแจ้งข้อหาว่าประมาทร่วม หากเราคิดว่าไม่ถูกต้อง แนะนำให้ลองสอบถามเรื่องข้อกฎหมายกับทางตำรวจ หากเรายังคิดว่า ไม่ถูกสามารถใช้สิทธิ์ในการปฏิเสธได้ แล้วไปต่อสู้ชั้นศาล ซึ่งก็อาจจะมีขั้นตอนเพิ่มเข้ามา โดยก่อนจะปฏิเสธแนะนำว่าให้ลองปรึกษาคนใกล้ตัวในเรืองข้อกฎหมาย รวมไปถึง พรบ.จราจรทางบก ด้วยครับ เพราะกฏหมายนั้นเขียนไว้ค่อนข้างที่จะครอบคลุมเลยไม่ว่าจะทำอะไรก็ผิดไปหมดซะเกือบทุกอย่าง ทำให้เวลาเกิดเหตุรถชนขั้น จึงมีกรณีที่ประมาทร่วมนั้นเอง